Page 5 - การตรวจอากาศชั้นบน
P. 5
1
ี่
บทท 1
การตรวจอากาศชั้นบน
(Upper Air Soundings)
ื้
เนื่องจากการตรวจอากาศผิวพนนั้น ยังไม่เป็นการเพียงพอต่อความต้องการของผู้ใช้ข่าวอากาศ เพอให้ได้
ื่
ศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับปรากฏการณ์ต่างๆ ในบรรยากาศ และทำให้การพยากรณ์อากาศนั้นมีความแม่นยำมาก
ขึ้น จึงต้องมีการตรวจลมชั้นบนวันละ 4 ครั้ง คือเวลา 0000, 0600, 1200 และ 1800UTC ในประเทศไทยมีสถานี
ตรวจอากาศเป็นบางสถานีเท่านั้นที่จะทำการตรวจลมชั้นบน โดยการรายงานออกมาเป็นความกดอากาศ, อณหภูมิ
ุ
และความชื้นของบรรยากาศในระดับสูงมากที่สุดเท่าที่เครื่องมือจะสามารถรายงานได้ การรายงานข่าวอากาศดังกล่าว
จะช่วยให้การพยากรณ์อากาศมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ถึงเมื่อต้นปี ค.ศ.1930 ได้มีการสร้างว่าวพิเศษขึ้นโดยได้มีการติดเครื่องมือ
ตรวจอากาศขึ้นไปด้วย ซึ่งเครื่องมือดังกล่าวจะบันทึก ความกดอากาศ, อุณหภูมิ และความชื้นของอากาศไว้ ซึ่ง
เป็นรากฐานของการตรวจอากาศชั้นบน อย่างไรก็ตามในราวกลางปี ค.ศ.1930 ได้มีการใช้เครื่องบินแทนว่าว โดย
ติดตั้งเครื่องมือบันทึกผลของการตรวจอากาศไว้บนเครื่องบิน และผลของการตรวจอากาศนี้จะถึงมือผู้ใช้เมื่อ
เครื่องบินลงสนามแล้ว การบินตรวจอากาศแบบนี้เรียกว่า APOBS (Airplane Observation) จนกระทั่งทุกวันนี้
APOBS ก็ยังเป็นประโยชน์อยู่มาก ในการตรวจอากาศชั้นบนไม่สามารถทำการตรวจในขณะที่มีพายุหมุนเขตร้อน
(ไต้ฝุ่น) หรือลักษณะอากาศที่รุนแรงอื่นๆ ที่บอลลูนไม่สามารถจะทะลุผ่านขึ้นไปได้
เนื่องจากข้อมูลข่าวอากาศต่างๆ ที่ได้มานั้น เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานด้านอุตุนิยมวิทยาเท่านั้นเป็น
ผู้เกี่ยวข้องโดยตรง จึงไม่จำเป็นสำหรับนักบินที่จะต้องทราบรายละเอยด แต่ถ้านักบินต้องการทราบรายละเอยดให้
ี
ี
ติดต่อได้ที่สถานีตรวจอากาศนั้นๆ เพื่อใช้ในการบินทุกครั้ง
การตรวจอากาศชั้นบน ทำการตรวจเพื่อให้ได้ค่าทิศทางและความเร็วลมเหนือสถานีตรวจอากาศนั้น
โดยมีชนิดของการตรวจลมชั้นบน และตรวจอากาศชั้นบน (WIND ALOFT OBSERVATION AND UPPER AIR
OBSERVATION) ซึ่งแบ่งตามวิธีการดังนี้
1. การใช้วิทยุหยั่งอากาศ (RADIO SOUNDING OBSERVATION : RAOB)
2. การตรวจลมชั้นบนด้วยเครื่องเรดาร์ (RADAR WIND OBSERVATION : RAWIN)
3. การใช้วิทยุหยั่งอากาศและเรดาร์ตรวจลมชั้นบน (RADIO AND WIND SOUNDING : RAWINSONDE)
4. การตรวจลมชั้นบน (PILOT BALLOON OBSERVATION : PIBAL)

