Page 6 - ภูมิอากาศ
P. 6
6
3.1 มวลอากาศเย็นกว่าผิวพนที่เคลื่อนที่ผ่านไป (Cold) กำหนดให้เป็น k
ื้
3.2 มวลอากาศร้อนกว่าผิวพื้นที่เคลื่อนที่ผ่านไป (Warm) กำหนดให้เป็น w
เนื่องจากมวลอากาศแบบ A นั้นเกิดขึ้นจากบริเวณที่เป็นหิมะและน้ำแข็งตลอด ดังนั้นจึงไม่แบ่งว่าเป็นประเภท
ื้
มาจากน่านน้ำหรือบนพนดิน ทำนองเดียวกันกับมวลอากาศแบบ E นั้นเกิดแถบศูนย์สูตร ซึ่งเป็นพนน้ำเป็นส่วนใหญ่
ื้
ี
ดังนั้นมวลอากาศจึงสามารถจำแนกออกไปได้อกคือ
A = มวลอากาศแถบอาร์กติก (Arctic air mass)
mP = มวลอากาศแถบขั้วโลกฝ่ายมหาสมุทร (Maritime Polar air mass)
cP = มวลอากาศแถบขั้วโลกฝ่ายทวีป (Continental Polar air mass)
mT = มวลอากาศเขตร้อนฝ่ายมหาสมุทร (Maritime Tropical air mass)
cT = มวลอากาศเขตร้อนฝ่ายทวีป (Continental Tropical air mass)
E = มวลอากาศแถบศูนย์สูตร (Equatorial air mass)
ุ
เมื่อมวลอากาศเหล่านี้เคลื่อนที่ไปยังผิวพนที่แตกต่างกันจะได้มวลอากาศที่มีคณสมบัติ ดังต่อไปนี้
ื้
mTk mTw
cTk cTw
mPk mPw
cPk cPw
ตัวอย่างเช่น mPk หมายถึงมวลอากาศฝ่ายมหาสมุทรแถบขั้วโลกที่เย็นกว่าผิวพนที่มวลอากาศเคลื่อนที่
ื้
ื้
ผ่านไป อาจเคลื่อนไปทางศูนย์สูตรหรือเคลื่อนไปบนผิวพนที่ร้อนกว่าก็ได้แต่ในทางตรงข้าม ถ้ามวลอากาศจากแหล่ง
เดียวกันนี้เคลื่อนไปทางขั้วโลกซึ่งเป็นผิวพนที่เย็นกว่า มวลอากาศนั้นก็จะอนกว่าผิวพนที่อยู่ข้างล่าง เราจึงต้องเติม w
ื้
ื้
ุ่
ไปไว้ข้างหลัง เป็น mPw
ุ
ุ
ขอให้สังเกตว่าสัญลักษณ์ k และ w นั้นไม่ได้หมายถึงอณหภูมิของมวลอากาศจริงๆ แต่เป็นอณหภูมิที่แตกต่าง
ื้
กันระหว่างมวลอากาศนั้นๆ กับผิวพนที่รองรับ มวลอากาศเย็นอาจใช้ w ก็ได้ถ้าอณหภูมิของมวลอากาศดังกล่าวยังสูง
ุ
กว่าผิวพนข้างล่างที่เย็นกว่าขณะที่มวลอากาศนั้นเคลื่อนที่ผ่าน โดยทั่วไปแล้วคุณสมบัติของมวลอากาศจะเปลี่ยนไป
ื้
อย่างช้าๆ เช่นมวลอากาศขั้วโลกแผ่ลงมาในเขตร้อนแล้วปกคลุมอยู่บริเวณนั้น มวลอากาศดังกล่าวต้องค่อยๆเปลี่ยนเป็น
ร้อนขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนที่จะกลายเป็นมวลอากาศเขตร้อน

