Page 6 - สภาพอากาศในอวกาศ
P. 6
5
เนื่องจากความร้อนของพลาสมาในโคโรนาจึงแผ่รังสีอลตราไวโอเลต เอ็กซเรย์ และเนื่องจากความ
ั
หนาแน่นต่ำจึงแผ่รังสีในช่วงคลื่นไมโครเวฟและช่วงคลื่นวิทยุได้อีกด้วย การแผ่รังสีของโคโรนาเป็นผลทำให้เกิด
แสงและความร้อนออกไปจากชั้นโฟโตสเฟียร์ ในรูปที่ 6 พบว่า 99% ของพลังงานของดวงอาทิตย์คือพลังงาน
แสงและความร้อน (รังสีอินฟราเรด) และรังสีอัลตราไวโอเลตจากชั้นโฟโตสเฟียร์ ส่วนที่เหลือ 1% มาเป็น
คลื่นวิทยุ คลื่นไมโครเวฟและรังสีอลตร้าไวโอเลตพลังงานสูง (Extreme Ultraviolet Radiation) และเอ็กเรย์
ั
ซึ่งได้จากโคโรนา อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าการแผ่รังสีที่มาจากโคโรนาจะเป็นสัดส่วนเพียงเล็กน้อยของพลังงาน
็
รวมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์ก็ตาม แต่ผลปรากฏว่ารังสีเอกซ์เรย์และคลื่นวิทยุมีผลกระทบอย่าง
มากต่อระบบเทคโนโลยีที่บนพื้นโลกหรือตามแนวโคจรรอบโลก นอกจากนั้นการแผ่รังสีในช่วงคลื่นเหล่านี้
แปรเปลี่ยนอย่างมากในขณะที่มีกิจกรรมต่าง ๆเกิดขึ้นบนดวงอาทิตย์ โดยที่แสงและความร้อนของดวงอาทิตย์
จะคงที่อย่างต่อเนื่อง
รูปที่ 6 แสดงแถบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของดวงอาทิตย์
2.2 สื่อกลางระหว่างดวงดาว (The interplanetary medium)
่
พลาสมาที่มีอุณหภูมิสูงในโคโรนาหลุดออกจากดวงอาทิตย์อย่างต่อเนื่องกอให้เกิดแนวแคบๆของการไหล
ของอนุภาคประจุ (อิเลคตรอน โปรตรอน และอนุภาคอัลฟา) เราเรียกว่า ลมสุริยะ (Solar wind) ซึ่งจะ
เคลื่อนที่ไปในสนามแม่เหล็กสุริยะ (Solar magnetic field) ลมสุริยะไหลออกเป็นวงรัศมีจากดวงอาทิตย์ด้วย
ความเร็วประมาณ 400 กิโลเมตรต่อวินาที และเนื่องจากดวงอาทิตย์มีการหมุนสนามแม่เหล็กที่ฝังตัวอยู่ในลม
สุริยะจะยืดออกเป็นวงคล้ายกับรูปก้นหอย สนามแม่เหล็กดังกล่าวเรียกว่าสนามแม่เหล็กระหว่างดวงดาว
(Interplanetary Magnetic Field: IMF) แสดงดังรูปที่ 7 โดยมีดวงอาทิตย์อยู่บริเวณศูนย์กลาง

