Page 12 - สภาพอากาศในอวกาศ
P. 12
11
ที่เรียกว่า Line - of sight (LOS) ตัวอย่างเช่น การติดต่อสื่อสารผ่านดาวเทียมและระบบ GPS นอกจากนี้การ
ปฏิบัติการด้วยเรดาร์ต่าง ๆ จำนวนมากก็ใช้ย่านความถี่นี้ (ตัวอย่างเช่น L band และ S band) การส่ง
สัญญาณโทรทัศน์บางส่วนก็ใช้ในย่านความถี่นี้เช่นเดียวกัน
คลื่นวิทยุช่วงความถี่ Super High Frequency (SHF) ความถี่ระหว่าง 3-30 GHz ย่านความถี่นี้ใช้กัน
อย่างแพร่หลายในการติดต่อสื่อสารผ่านดาวเทียม ทั้งนี้เพราะบรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟียร์มีผลกระทบเพียง
เล็กน้อยต่อคลื่นวิทยุย่านความถี่นี้ ในทางกลับกันหากผ่านบริเวณที่มีน้ำฟ้าตกหนัก (ฝน หิมะและลูกเห็บ)
จะทำให้สูญเสียพลังงาน ดังนั้นจึงเป็นข้อจำกัดของการส่งผ่านสัญญาณแบบ LOS ระหว่างจุดสองจุดบน
พื้นผิวโลก เรดาร์จำนวนมากได้ใช้คลื่นย่านความถี่นี้ในการปฏิบัติการด้วยเช่นกัน (ตัวอย่างเช่น IEEE C-band,
X-band, และ K- bands) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการติดตามวัตถุในวงโคจร
คลื่นวิทยุช่วงความถี่ Extremely High Frequency (EHF) ความถี่ตั้งแต่ 30 GHz ถึง 300 GHz คลื่น
ความถี่ย่านดังกล่าวเหมาะสำหรับการติดต่อสื่อสารผ่านดาวเทียม เนื่องจากบรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟียร์ไม่มี
ผลกระทบต่อคลื่นย่านความถี่นี้ อย่างไรก็ตาม น้ำฟ้า เมฆ และไอน้ำในบรรยากาศอาจเป็นสาเหตุทำให้
ประสิทธิภาพในการใช้งานคลื่นย่านความถี่นี้ลดลง
3. กิจกรรมของดวงอาทิตย์ (Solar Activity)
รูปทรงกลมของดวงอาทิตย์ที่ประกอบด้วยพลาสมาไม่คงรูปตลอดเวลา แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงไป
ตามกิจกรรมที่เกิดขึ้นตามห้วงเวลาต่างๆ บนดวงอาทิตย์ การหมุนรอบตัวเองของดวงอาทิตย์มีความแตกต่าง
กันกล่าวคือ อัตราเร็วการหมุนไม่เท่ากันเช่นเดียวกับการไหลของของเหลวในอ่างน้ำวน
3.1 บริเวณที่เกิดกิจกรรมของดวงอาทิตย์
บริเวณศูนย์สูตรของดวงอาทิตย์จะหมุนรอบตัวเองในหนึ่งรอบประมาณ 25 วัน และบริเวณขวโลกของ
ั้
ดวงอาทิตย์จะใช้เวลาหมุนรอบตัวเองหนึ่งรอบประมาณ 35 วัน การที่มีอัตราการหมุนรอบตัวเองทแตกต่างกัน
ี่
ทำให้สนามแม่เหล็กที่ระเบิดขึ้นมาจากพื้นผิวของดวงอาทิตย์เกิดการบิดตัว และความเข้มของสนามแม่เหล็ก
เพิ่มมากขึ้นในบางพื้นที่ตามมาดังรูปที่ 12 แสดงความซับซ้อนของรูปแบบสนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้น
ี
ี่
สนามแม่เหล็กทมีความเข้มมากกว่าในชั้นโฟโตสเฟยร์ผลักดันวัตถุที่ร้อนกว่าของดวงอาทิตย์ออกจากชั้นโฟโตส
เฟียร์ ในขณะที่บริเวณเดียวกันที่พื้นผิวของโฟโตสเฟียร์จะเป็นบริเวณทเย็นกว่า ปรากกฎเป็นแถบดำเป็นหย่อม
ี่
ๆ ซึ่งเรียกว่า จุดมืด (Sun spots) ซึ่งเป็นบริเวณที่บ่งชี้ว่าเป็นบริเวณที่มีการคงอยู่ของความเข้มของ
สนามแม่เหล็กมาก อันเกิดจากการระเบิดจากภายในของดวงอาทิตย์(รูปที่ 13) จุดที่ดำที่สุดบริเวณศูนย์กลาง
ของจุดมืดบนดวงอาทิตย์เรียกว่า Umbra เป็นบริเวณที่มีความเข้มของสนามแม่เหล็กมากและมีทิศทางในทางดิ่งขึ้น
ไปจากพื้นผิวของดวงอาทิตย์ ส่วนบริเวณโดยรอบที่มีสีดำน้อยกว่าจุดมืดบนดวงอาทิตย์ เรียกว่า Penumbra
เป็นบริเวณที่มีความเข้มสนามแม่เหล็กมากเช่นเดียวกันแต่จะมีทิศทางในแนวนอนกับพื้นผิวของดวงอาทิตย์

